ทุกศาสนาล้วนมีเทศกาลแสวงบุญในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการประกอบพิธีฮัจญ์ของชาวมุสลิมที่มักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย หรือการแสวงบุญของชาวพุทธที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย สำหรับชาวคาทอลิกในซีกโลกตะวันตก (ทวีปอเมริกา) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาคือโบสถ์พระแม่กวาดาลูเป ประเทศเม็กซิโก
การแสวงบุญ ณ โบสถ์พระแม่กวาดาลูเปมีขึ้นทุกปีในวันที่ 12 ธันวาคม ซึ่งเป็น “วันพระแม่” นอกจากนี้ วันที่ 12 ธันวาคม ยังเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของชาวคาทอลิกในเม็กซิโกอีกด้วย ช่วงเวลานับตั้งแต่วันพระแม่ไปจนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ จะถูกขนานนามว่า “เทศกาลฤดูหนาว” (Fiestas de Invierno / Winter Holidays) โดยชาวเมืองจะเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ ๆ ตามคติของคริสต์ศาสนาผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศซึ่งมีความเชื่อมโยงกับอารายธรรมโบราณก่อนการเข้ามาของคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิกในทวีปอเมริกาเมื่อราวศตวรษที่ 15 เสียอีก
รูปภาพ: ขบวนแห่รูปพระแม่ในวันที่ 12 ธันวาคม
ปาฏิหารย์พระแม่
โบสถ์พระแม่กวาดาลูเป (Basílica de Nuestra Señora de Guadalupe) หรือเรียกอีกชื่อว่า วิลล่าพระแม่กวาดาลูเป (La Villa de Guadalupe) ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากเคยมีการปรากฏตัวของพระแม่มารี (ซึ่งชาวเม็กซิกันเรียกอีกชื่อว่าพระแม่กวาดาลูเป) ถึงห้าครั้งเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1531 โดยสี่ครั้งแรกเป็นการปรากฏต่อชาวนาที่ชื่อว่า Juan Diego และครั้งหลังสุดต่อ Juan Bernadino ซึ่งเป็นลุงของ Juan Diego
ในการปรากฏตัวแต่ละครั้ง พระแม่มารีได้บอกกับ Juan Diego ว่าให้สร้างโบสถ์ขึ้นที่ทำเลนี้ ซึ่งเขาพยายามพูดกับอาร์คบิชอปแล้วแต่ไม่สำเร็จ อาร์คบิชอปบอกว่าต้องการเห็นหลักฐานที่แสดงถึงปาฏิหารย์ของพระแม่ ดังนั้น ในครั้งที่สามที่พระแม่มาปรากฏ Juan Diego จึงอธิบายประเด็นนี้และพระแม่ตอบว่าในครั้งต่อไป (ครั้งที่สี่) จะแสดงปาฏิหารย์ให้ดู ต่อมา ในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1531 พระแม่มาปรากฏตัวเป็นครั้งที่สี่และบอกให้ Juan Diego เก็บดอกไม้มาห่อไว้ในเสื้อคลุมของเขาและนำไปเปิดให้อาร์คบิชอปดู ซึ่งเมื่อเขาไปหาอาร์คบิชอปและกางผ้าออกมา ดอกไม้ได้หล่นออกและบนผ้าผืนนั้นปรากฏภาพของพระแม่มารีขึ้นมา ครั้งนี้อาร์คบิชอปเชื่อแล้วว่าพระแม่มาปรากฏตัวจริง จึงสร้างโบสถ์พระแม่กวาดาลูเปขึ้นโดยประดับผ้าผืนดังกล่าวไว้บนผนังโบสถ์
รูปภาพ: ชาวคาทอลิกมุ่งหน้าสู่โบสถ์พระแม่กวาดาลูเป
ศูนย์รวมใจคนทั้งทวีป
เวลาผ่านมาหลายร้อยปี ปริมาณผู้ศรัทธาที่เดินทางมายังโบสถ์พระแม่กวาดาลูเปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีผู้คนเดินทางมาจากทั่วเม็กซิโก ต่อมาก็จากทั่วทวีปอเมริกาและในที่สุดก็จากทั่วโลก จึงทำให้โบสถ์พระแม่ต้องขยายสถานที่เพื่อรองรับจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงปี 1970 ได้ปรับมาเป็น “วิลล่า” ที่สามารถจุคนได้ถึง 50,000 คน มีอาคารโบสถ์เก่าที่ยังเก็บรักษาเอาไว้ พร้อมกับโบสถ์ใหม่ในสถาปัตยกรรมทรงโมเดิร์นที่สร้างขึ้นมาคู่กัน และย้ายผ้าของ Juan Diego ที่มีรูปพระแม่มาไว้ในอาคารใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่มาสักการะ
รูปภาพ: โบสถ์ใหม่ (ด้านซ้าย) คู่กับโบสถ์เก่า (ด้านขวา)
รูปภาพ: ผ้าผืนเดิมของ Juan Diego ที่มีรูปพระแม่บนผนังอาคารโบสถ์ใหม่
เป็นเวลาเกือบ 500 ปี ที่ปาฏิหารย์ของพระแม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวีถีชีวิตของชาวเม็กซิกัน จน Octavio Paz นักเขียนรางวัลโนเบลปี 1990 เคยให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างชาติเม็กซิโกหลังเป็นเอกราชจาสเปนว่า “หลังจากทดลองและล้มเหลวกันมาแล้วสองศตวรรษ ชาวเม็กซิกันจึงศรัทธาเพียงพระแม่กวาดาลูเปกับลอตเตอรี่เท่านั้น” ซึ่งเป็นคำพูดติดตลกแต่แฝงความจริงที่ว่า พระแม่เป็นสัญลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของชาวคาทอลิกไม่เพียงแค่ในเม็กซิโกแต่ทั้งภูมิภาคอเมริกา หากเราเดินทางไปประเทศรอบ ๆ เม็กซิโกเราสามารถพบภาพของพระแม่ประดับไว้ที่แท่นบูชาในโบสถ์สำคัญหลายแห่ง
รูปภาพ: แท่นบูชาพระแม่ ณ โบสถ์ Nuestra Señora Reina de los Ángeles (โบสถ์ที่ให้กำเนิดชื่อเมือง Los Angeles) ในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา
รูปภาพ: แท่นบูชาพระแม่ในโบสถ์ Catedral Metropolitana de San Salvador ใจกลางกรุงซานซัลวาดอร์ (เมืองหลวงของประเทศเอลซัลวาดอร์)
เทศกาลฤดูหนาว
ชาวเม็กซิกันไม่ต้องรอถึงวันที่ 25 ธันวาคม เพื่อเริ่มฉลองเทศกาลคริสต์มาส เพราะเขาเริ่มกันตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม ที่เป็นวันพระแม่ พอเสร็จจากนั้นค่อยเดินหน้าสู่วันคริสต์มาสและต่อด้วยการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่ก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้นเพราะเทศกาลฤดูหนาว หรือ Fiestas de Invierno ยังมีต่อไปจนถึงวัน Día de Los Reyes หรือ Three Kings Day ในวันที่ 6 มกราคม และวัน Día de la Candelaria หรือ Candlemas ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์
แม้ว่าประเทศคาทอลิกอื่น ๆ จะฉลองวัน Three Kings Day และ Candlemas เช่นกัน แต่ที่เม็กซิโกมีเอกลักษณ์ต่างจากที่อื่นบางประการ เช่น เด็กเม็กซิกันจะเฝ้ารอของขวัญที่ ‘Three Kings’ นำมาให้ในรุ่งเช้าวันที่ 6 มกราคม แทนการเฝ้ารอของขวัญจากซานต้าในวันวันคริสต์มาส โดยในวันนั้นครอบครัวจะรวมตัวกันเพื่อดื่ม Atole อุ่น ๆ (เครื่องดื่มสมุนไพรสไตล์เม็กซิกัน ทำจากน้ำนมข้าวโพดที่ใส่ผงอบเชยเพื่อเพิ่มความหอม หรืออาจปรุงเป็นรสช็อกโกแลต) ทานคู่กับขนมปัง Rosca de Reyes (ขนมปังหวานรูปร่างกลม ด้านบนโรยด้วยน้ำตาลและตกแต่งด้วยผลไม้แห้ง ด้านในซ่อนตุ๊กตาพระเยซูทารกขนาดเล็ก)
รูปภาพ : ขนมปัง Rosca de Reyes และตุ๊กตาพระเยซูทารกที่ซ่อนอยู่
การทาน Rosca de Reyes มีกฏิกาที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการกินว่า หากใครตัดขนมแล้วพบตุ๊กตาพระเยซูทารกที่ซ่อนไว้ คนนั้นจะต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงเมนู Tamales (ขนมสอดไส้ของชาวลาตินอเมริกาที่ทำจากแป้งข้าวโพดนึ่ง มีทั้งไส้คาวและหวาน) ในวัน Candlemas ดังนั้น แต่ละคนจะตัด Rosca de Reyes ด้วยตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวเล่นตุกติก
นอกจากประเพณีการกิน Rosca de Reyes ที่นำไปสู่การเลี้ยง Tamales แล้ว อีกกิจกรรมที่ต้องมีในช่วงเทศกาลฤดูหนาวแบบฉบับเม็กซิกัน คือ การตี Piñata ซึ่งเป็นการละเล่นที่เด็ก ๆ จะถูกปิดตาและต้องพยายามตีหุ่นกระดาษที่แขวนอยู่ให้แตก โดยข้างในหุ่นกระดาษตัวนั้นเต็มไปด้วยขนมหวานที่เด็กทุกคนจ้องจะรุมเก็บ
รูปภาพ : Piñata ทรงคลาสสิก (ดาว 9 แฉก) ขนาดยักษ์ที่ห้อยอยู่ ณ จัตุรัสกลางเมือง กับ Piñata รูปตุ๊กตาหิมะที่เด็กเม็กซิกันตีที่บ้าน
รูปภาพ : ลานน้ำแข็งจำลอง ณ จัตุรัสใจกลางกรุงเม็กซิโก
ท้ายที่สุด สีแดงเขียวของดอก Nochebuena (Christmas Eve) หรือดอกคริสต์มาสคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในช่วงเทศกาลฤดูหนาวในเม็กซิโก ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อาจรู้จักกันในนาม Poinsettia ที่ตั้งชื่อตามนาย Joel Roberts Poinsett นักพฤกษศาสตร์และทูตสหรัฐอเมริกาประจำเม็กซิโก (ค.ศ. 1825 - 1829) ที่เป็นผู้นำดอกไม้นี้กลับไปเผยแพร่ในสหรัฐฯ และสร้างกระแสนิยมไปทั่วโลก แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่านี่คือดอกไม้ท้องถิ่นของเม็กซิโกที่มีชื่อเดิมในภาษา náhuatl (ภาษาของชาวอาซเทคเมื่อ 500 ปีก่อน) ว่า Cuetlaxóchitl ซึ่งแปลว่า “ดอกไม้ที่มีลักษณะคล้ายหนังสัตว์” หรือ “ดอกไม้ที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น” และจากการค้นพบซากเมล็ดพันธุ์ของ Cuetlaxóchitl ลึกลงไปถึง 15 เมตรในเขตเหมืองเงินโบราณที่เมือง Taxco ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ก็ได้ช่วยยืนยันว่าดอกคริสต์มาสนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเม็กซิกันมายาวนานก่อนที่จะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเช่นทุกวันนี้
รูปภาพ : ดอกคริสต์มาส Noche Buena) บนถนน Reforma ในช่วงเทศกาล
ช่วงฤดูหนาว แม้ว่าจะอากาศเย็นและมีแสงแดดน้อยกว่าช่วงเวลาอื่นของปี แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่ครื้นเครง สว่างไสว และมีสีสันที่สุดในรอบปีจากบรรยากาศเทศกาลที่ช่วงสร้างความอบอุ่นให้แก่ผู้คนตลอดเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ การใช้เวลาอย่างสนุกสนานกับครอบครัวและทำบุญประจำปีนับเป็นโอกาสให้ทุกคนพักเหนื่อยจากปีที่ผ่านมาและสร้างกำลังใจสำหรับปีที่จะมาถึง
เนื้อหาและรูปภาพ : ทิพาพร อรรถศิวานนท์ / พงศ์สิน เทพเรืองชัย
รูปภาพเพิ่มเติมบางส่วนจาก โพธิ์เงิน รัตนโชติ และ Andrea Bolaños
Comments