เวลาที่เราใช้งานสิ่งของเครื่องใช้มาระยะเวลาหนึ่ง ส่วนใหญ่เมื่อมันหมดอายุหรือใกล้หมดอายุ เราก็จะทิ้งหรือในบางกรณี ก็อาจเอาชิ้นส่วนหรืออะไหล่บางอย่างมาปรับใช้กับสิ่งของอย่างอืน อย่างไรก็ดี การฟื้นฟูชีวิตให้กับสิ่งของที่หมดประโยชน์หรือถูกทิ้งร้างก็อาจทำประโยชน์ต่อยอดได้มหาศาล อีกทั้งยังสอดคล้องแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
High Line สถานที่พักผ่อนหย่อนใจยุคใหม่อีกแห่งที่น่าสนใจในนครนิวยอร์กก็เช่นกัน การเดินทางมาเยี่ยมชมก็แสนสะดวกสบาย มีทั้งรถโดยสารประจำทาง และรถสาธารณะที่พร้อมให้บริการ โดยคำจำกัดความของ High Line ได้แก่ “สวนสาธารณะ พื้นที่สีเขียว แนวเส้นตรง ยกระดับลอยฟ้า สร้างโดยมนุษย์ ความร่วมมือพัฒนาของชุมชน และอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ทั้งนี้ High Line มีความยาวรวม 1.45 ไมล์ หรือ 2.3 กิโลเมตร โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Promenade plantee หรือทางเดินตามแนวต้นไม้ในกรุงปารีส ซึ่งสร้างเมื่อปี 2536 ยามปกติ ก็จะมีการจัดกิจกรรมมากมายหลากหลายใน High Line แต่โดยที่ปีนี้ (2563) สถานการณ์ไม่ปกติ แค่สามารถเปิดให้กลับมาเดินเล่นได้อีกครั้ง ก็เรียกได้ว่าดีแล้ว
เมื่ออดีตที่ผ่านมา เส้นทาง High Line ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งอาหารสดมายังย่าน Meatpacking และเชลซี ดูจากชื่อก็รู้แล้วว่าต้องเอาเนื้อสัตว์มาบรรจุภัณฑ์แล้วส่งต่อไปยังเขตอุตสาหกรรมและโรงงานแปรรูปต่อ โดยที่รางรถไฟกินพื้นที่เข้ามาในถนนค่อนข้างมาก ทำให้ความถี่การเกิดอุบัติเหตุสูง มีผู้เสียชีวิตจากการถูกรถไฟชนจำนวนมาก จนได้รับการขนานนามว่า “Death Avenue” หรือ “ถนนสายมรณะ”
การชุบชีวิต High Line เริ่มเมื่อปี 2552 ด้วยการใช้หลักการออกแบบชุมชนเมือง (urban design) และนิเวศน์วิทยา เพื่อปรับปรุงพื้นที่ส่วนใต้ของสะพานรถไฟสาย West Side จากถนน Gansevoort ผ่านเขตเชลซีไปทางตอนเหนือของ West Side Yard ใน 34th Street ใกล้กับศูนย์การประชุม Javis Center ซึ่งในช่วงจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ใช้เป็นโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วย ทั้งนี้ พื้นที่ส่วนต่อขยายของ High Line ซึ่งเชื่อมกับ Major General Mail Facility ที่ตั้งอยู่บนจุดตัดระหว่าง 30th Street กับ 10th Avenue ได้เปิดเมื่อ 4 มิ.ย. 2562
สิ่งที่ฉลาดอีกอย่างหนึ่งของ High Line ได้แก่ การคงสภาพสิ่งก่อสร้างให้เหมือนเดิมให้มากที่สุด อีกทั้งการให้พืชพันธุ์ตามธรรมชาติขึ้นเองเพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาและความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ก็เป็นความเรียบง่ายที่มีเสน่ห์ชวนค้นหาเช่นกัน
ความสำเร็จของ High Line จุดประกายให้เมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ เริ่มพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัยให้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจสาธารณะ และแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจก่อให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงการสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ ปัจจุบัน โดยที่ย่านอุตสาหกรรมและโรงงานย้ายออกไปหลังรถไฟหยุดให้บริการ กลุ่มศิลปินต่าง ๆ ต่างพากันย้ายเข้ามาอยู่แทน มีการสร้างแกลลอรี่แสดงภาพ และสร้างสรรค์ศิลปะในรูปแบบ graffiti หรือการเขียนภาพบนกำแพงหรือพื้นผิวต่าง ๆ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ หากมองมาจาก High Line จะเห็นงานศิลปะดังกล่าวที่น่าสนใจอยู่ได้หลายจุดเช่นกัน
(*หมายเหตุ : รูปภาพบางส่วนถ่ายเมื่อสองปีที่แล้ว คนในรูปจึงไม่ได้สวมหน้ากากหรือรักษาระยะห่างกัน)
Comentários